top of page

วสันตดิลกฉันท์ ๑๔

วสันตดิลก หมายถึง รอยแต้มที่กลีบเมฆในฤดูฝน น่าจะหมายถึง ฉันท์อันมีลีลาว่าฤดูฝนได้เริ่มต้นแล้วบทหนึ่งมี  ๒  บาท  บาทหนึ่งมี  ๒ วรรค  วรรคต้นมี ๘ คำ วรรคท้ายมี ๖ คำรวมทั้งบาทมี ๑๔ คำ

วิชชุมมาลาฉันท์ ๘

มี ๔ บาท  บาทละ ๒ วรรค   วรรคละ ๔ คำ

๑  บาท  นับจำนวนคำได้  ๘  คำ/พยางค์   ดังนั้น  จึงเขียนเลข  ๘ หลังชื่อ   วิชชุมมาลาฉันท์นี่เอง

ทั้งบทมีจำนวนคำทั้งสิ้น  ๓๒  คำ

อินทรวงศ์ฉันท์ ๑๒

มี ๔ วรรค มีบาทละ ๑๒ คำ เพราะมีบาทละ ๑๒ คำนั้น จึงเรียกว่า “ฉันท์  ๑๒”

Mattanapata

กาพย์สุรางคนางค์

บทหนึ่งมี ๗ วรรคขึ้นต้นด้วยวรรครับ ต่อด้วยวรรครอง และวรรคส่ง แล้วขึ้นต้น ด้วยวรรคสดับ – รับ – รอง – ส่ง ตามลำดับ รวม ๗ วรรค เป็น ๑ บท  แต่ละวรรคมี ๔ คำ ๑ บทมี ๗ วรรค รวม ๒๘ คำ จึงเรียกว่า  กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘

กาพย์ฉัง ๑๖

บท บทหนึ่งมี ๓ วรรค อาจเรียกว่าวรรคสดับ วรรครับ วรรคส่ง ก็ได้ แบ่งเป็น
วรรคแรก (วรรคสดับ) มี ๖ คำ วรรคที่สอง (วรรครับ) มี ๔ คำวรรคที่ ๓ (วรรคส่ง) มี ๖ คำ
รวมทั้งหมด ๑๖ คำ จึงเรียกฉบัง ๑๖

อินทรวิเชียรฉันท์๑๑

อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ จะมีแบบแผนเหมือนกับ กาพย์ยานี ๑๑  แต่เพิ่ม ครุ,  ลหุ เข้าไป อินทรวิเชียร แปลว่า เพชรพระอินทร์ หมายถึง ฉันท์ที่มีลีลาอย่างเพชรของพระอินทร์ นิยมใช้แต่งข้อความที่เป็นบทชมหรือบทคร่ำครวญนอกจากนี้ยังแต่งเป็นบทสวด หรือพากย์โขนด้วย

ลักษณะคำประพันธ์

ลักษณะคำประพันธ์ที่พบในเรื่อง มีทั้งกาพย์และฉันท์กาพย์ คือคำประพันธ์ชนิดหนึ่งซึ่งมีกำหนดคณะ พยางค์ และสัมผัส มีลักษณะคล้ายกับฉันท์ แต่ไม่นิยม ครุ ลหุ เหมือนกับฉันท์ กาพย์ แปลตามรูปศัพท์ว่า เหล่ากอแห่งกวี หรือประกอบด้วย คุณแห่งกวี หรือ คำที่กวี ได้ร้อยกรองไว้ กาพย์มาจากคำว่า กาวฺย หรือ กาพย และคำกาวฺย หรือ กาพย มาจากคำ กวี กวีออกมาจากคำเดิม ในภาษาบาลี และสันสกฤต กวิ แปลว่า ผู้คงแก่เรียน ผู้เฉลียวฉลาด ผู้มีปัญญาเปรื่องปราด ผู้ประพันธ์กาพย์กลอน และแปลอย่างอื่นได้อีกกาพย์ ตามความหมายเดิม มีความหมายกว้างกว่าที่เข้าใจกัน ในภาษาไทย คือ บรรดาบทนิพนธ์ ที่กวีได้ ร้อยกรองขึ้นไม่ว่าจะเป็น โคลง ฉันท์ กาพย์ หรือ ร่าย นับว่าเป็นกาพย์ ทั้งนั้น แต่ไทยเรา หมายความ แคบ หรือหมายความถึง คำประพันธ์ชนิดหนึ่ง ของกวีเท่านั้น

 

ฉันท์ คือ ลักษณะถ้อยคำที่กวีได้ร้อยกรองขึ้นเพื่อให้เกิดความไพเราะ โดยกำหนดครุ ลหุ และสัมผัสเป็นมาตรฐาน ฉันท์เป็นคำประพันธ์ที่ได้แบบอย่างมาจากอินเดีย เดิมแต่งเป็นภาษาบาลีและสันสกฤต ไทยนำเปลี่ยนแปลงลักษณะบางอย่างเพื่อให้สอดคล้องกับความนิยมในคำประพันธ์ไทย ตำราฉันท์ที่เป็นแบบฉบับของฉันท์ไทย คือ คัมภีร์วุตโตทัยในตอนที่เรียนพบคำประพันธ์ ประเภทต่าง ๆ ดังนี้

กมลฉันท์ ๑๒

โดยกำหนดนำมาเพียง ๒ บาท แล้วปรับปรุงให้เป็น ๔ วรรค มีบาทละ ๑๒ คำ เพราะมีบาทละ ๑๒ คำนั้น จึงเรียกว่า “ฉันท์ ๑๒” เมื่อ ปรับปรุงแล้ว เพิ่มสัมผัสเข้า คือ คำสุดท้ายของวรรคที่ ๑ ส่งสัมผัสไปยังคำที่ ๓ ของวรรคที่ ๒, คำสุดท้ายของวรรคที่ ๒ ส่งสัมผัสไปยังคำสุดท้ายของวรรคที่ ๓, และคำสุดท้ายของวรรคที่ ๔ ส่งสัมผัสไปยังคำที่พร้อมจะรับในบทที่จะแต่งต่อไป

สาลินีฉันท์ ๑๑

 

โดยกำหนดนำมาเพียง ๒ บาท แล้วปรับปรุงให้เป็น ๔ วรรค มีบาทละ ๑๑ คำ จึงเรียกว่า “ฉันท์ ๑๑” แล้ว เพิ่มสัมผัสเข้า คือ คำสุดท้ายของวรรคที่ ๑ ส่งสัมผัสไปยังคำที่ ๓ ของวรรคที่ ๒, คำสุดท้ายของวรรคที่ ๒ ส่งสัมผัสไปยังคำสุดท้ายของวรรคที่ ๓, และคำสุดท้ายของวรรคที่ ๔ ส่งสัมผัสไปยังคำที่พร้อมจะรับในบทที่จะแต่งต่อไป

จิตระปทาฉันท์ ๘

วรรคหน้าเป็นครุในคำที่ ๑  และ  คำที่  ๔ เป็นลหุในคำที่ ๒ และคำที่  ๓

วรรคหลังเป็นครุในคำที่ ๓ และ  คำที่ ๔ เป็นลหุในคำที่ ๑ และ คำที่  ๒

จิตระปทาฉันท์ ๑  บทมีจำนวนทั้งสิ้น  ๑๖  คำ/พยางค์

bottom of page